7/11/2554

ประชาธิปไตยรากหญ้า

ประชาธิปไตยรากหญ้า


  ที่กล่าวว่าชาวรากหญ้าขายสิทธิ์นั้น
           ใครกันเป็นคนปล้นสิทธิ ที่บิกว่ารากหญ้าโง่ เลือกคนโง่ อมาตยาชนมิโง่หรือไร
ถ้าไม่มีแรงงานทาสรากหญ้า ถ้าไม่มีคนจนอุ้มหนุน พวกคุณข้าราชการ คนรวย ตามปกติเป็นคนรับใช้พวกเราชาวรากหญ้า เพราะพวกเราเลี้ยงให้คุณนั่งนอนสบายจะมีความเห็นใจชาวรากหญ้าบ้างไหม หยุดเหยียดย่ำซ้ำเติมเสียที่ ขอเพียงอย่าปล้นพวกเราชาวรากหญ้า เรารู้ เราสู้ เพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรม พวกเราห่อข้าวเหนียวมาถามหาประชาธิปไตย อย่าขบขันว่าเรางี่เง่า เชอะชะ ถึงจะหยามเหยียด พวกเราไม่ว่าอะไรหรอก แม้หน้าตาจะหยาบกร้าน ใส่รองเท้าแตะ แต่พวกเราทำงานหนักหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ทำงานในโรงงาน เสียภาษีเป็นเงินเดือนของพวกคุณ พวกเรารักความชอบธรรม เสรีภาพ พวกเราจึงมาหน้ารัฐสภา เพื่อมาถามหาสิทธิที่มอบให้แทนมา พวกเรามาปกป้องสิทธิ เสรีภาพของเราหลังขนข้าวขึ้นฉาง แล้วเรามีข้าวกิน ทำให้รากหญ้ามีบทบาททางการเมือง เปิดโอกาสให้รากหญ้าเข้าถึงทุน ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายโดยตรงเข้ามามีบทบาททางการเมือง อันเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่อดีตถูกเก็บดองไว้ออกมามีส่วนร่วมทางการเมืองอีกครั้ง


 เมืองไทยวันนี้
         การยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 โดยกลุ่มอามาตยาธิปไตย คือ กลุ่มข้าราชการเป็นหัวหน้า พวกเขาให้ชื่อกฎหมายฉบับแรกเรียกว่า “คำประกาศของคณะความมั่นคงแห่งชาติ (ค.ม.ช.)” แต่คณะอาชีพนี้ ไม่สามารถออกกฎหมายได้ แม้แต่ศาล เพราะกฎมายต้องพ่านสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนประชาชน มีการเสนอโดยคณะรัฐมนตรี ต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความที่ถูกต้องโดยไม่ละเมิดสิทธิของประชาชน ส่วนคณะยึดอำนาจบางคณะทหารเรียกคณะของตนว่า “คณะปฏิวัติบ้าง คณะปฏิรูปบ้าง คณะรักษาความมั่นคงแห่งรัฐ คณะความมั่นคงแห่งชาติ” ยึดอำนาจทำไม ทำไมคณะทหารที่มีหน้าที่ป้องกันความมั่นคงความปลอดภัยของประเทศเป็นข้าราชการ จะต้องปฎิบัติตามนโยบายของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ และเสียภาษีให้แกรัฐเพื่อที่จะต้องไปจ่ายเงินเดือนให้กับพวกข้าราชการและทำให้มีการอยู่ดีๆๆ เศรษฐกิจเจริญเป็นไปตามลำดับ มีการทำมาค้าขายคล่องตัว ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตัวแทนของพวกเขาทุกระดับ แล้วทำไมจึงยึดอำนาจ


ยุทธการกวาดล้าง
         เมื่อพรรคไทยรักไทยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้หลักการบริการยุคใหม่ คือ การร่วมกลุ่มของพรรคการเมือง คือ พรรคไทยรักไทย พรรคความหวังใหม่ พรรคเล็กๆ ทางภาคอีสานสองพรรค ซึ่งทำให้พรรคอีสาน ล้านนา มีความเข้มแข็ง ไม่เป็นเบี้ยหัวแตกถูกกลุ่มอามาตย์ปกครองอีก การยึดอำนาจทุกครั้งจะต้องกล่าวหาอย่างน้อย 4 ประเด็น 1.ป้องกันการปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรที่มีอามาตยาธิปไตยเป็นเจ้าของ และกลุ่มประชาชนประชาธิปไตย และกลุ่มคนรักทักษิณหรือกลุ่มพรรคไทยรักไทย 2.คดโกงแทบทุกเรื่องทั้งในฐานะคณะรัฐมนตรี และในฐานะเจ้าของธุรกิจโทรคมนาคม รวมทั้งการซื้อขายที่ดินรัชดา 3.ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง 4.แทรงแซงองค์กรอิสระ รัฐประหารไม่แทรงแซง แต่แต่งตั้งมากับมือเลือกเองตั้งเอง เกิดการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายแห่งรัฐ(ค.ต.ส.) ประกอบไปด้วยกลุ่มบุคคลที่อยู่ตรงข้ามกับทักษิณ มาจัดการตรวจสอบครอบครัวเขา ตรงนี้คือปมสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในสายตาและหัวใจของนักประชาธิปไตย ไม่ต้องพูดถึงความพึงพอใจของศัตรูทางการเมือง ทุกคนอย่างสูงสุด และเป็นความเเสียใจของคนรักทักษิณ สิ่งนี้ คือ การตอกลิ่มความแตกแยกของกลุ่มรัฐประหาร อามาตยาธิปไตยที่เขาจงใจจะให้เกิดหรือคิดไม่ถึงการตามล่า ฆ่าคนๆเดียว และพรรคของพวกเขายังถูกต้อนให้เข้ามุมไม่มีสิทธิใดๆ ทางการเมือง


 บทบาทของรากหญ้า
        เมื่ออำนาจทางการเมืองอยู่ภายใต้ของกลุ่มศักดินาหรืออามาตยาธิปไตยที่ประกอบไปด้วย กลุ่มผู้นำกองทัพที่ทำการรัฐประหาร แต่การเลือกข้างเป็นสิทธิส่วนบุคคล กลุ่มทุนที่ประกอบไปด้วย ธนาคาร บริษัทใหญ่ ที่มีความเกี่ยวพันธ์ความเป็นเขยเป็นดองกัน ออกมากล่าวว่ารัฐบาลสัมคร สมชาย ไร้คุณภาพ ต้องเปลี่ยนขั้ว แล้วกลุ่มพวกนี้เขาเล่นการเมือง เพื่อผูกขาดทางเศรษฐกิจของพวกเขารากหญ้าก็รู้ เพราะฉะนั้นนักการเมืองจะต้องคิดถึงการทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ตามหน้าที่และคิดถึงสิทธิที่รากหญ้ามอบอำนาจให้ เรามาเป็นนักการเมือง โดยเฉพาะคะแนนของชาวรากหญ้า คือ คะแนนของผู้ด้อยโอกาสมากที่สุด ถูกกล่าวหาว่าร้ายสารพัดและได้รับการบริการจากรัฐที่ห่วยที่สุดและต่ำที่สุดในสังคม รากหญ้าจึงก้าวเข้ามาสู้การรวมกลุ่มกัน เพื่อรักษาสิทธิของตนจึงบากหน้าเข้ามาเรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะเป็นเจ้าของประเทศ


ประกาศทวงสิทธิ
        การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่คือการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของชาวรากหญ้า เอาอธรรมคืนไป เอาความเป็นไทยคืนมา ข้ารากหญ้าขมมาทวงสิทธิ ทางออกของรากหญ้าต่อใต้ฟ้าข้าแผ่นดิน การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของประเทศ และการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพเพื่อความเป็นธรรมและสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมและในการต่อสู้ เพื่อมวลชนเกิดมาเพื่อเข้าใจระบบต่อสู้ เพื่อให้ได้อำนาจรัฐและการบริหารอำนาจนั้นมีคนส่วนน้อยที่ยังไม่เข้าใจกลไกของระบบสังคมชนชั้นที่ไม่เคยไว้วางใจอำนาจของประชาชน ผลคือการแพ้พ่ายในการจัดตั้งรัฐบาลสองครั้ง และถูกยุบพรรคทั้งสองพรรค นี้คือบทเรียนทางการเมืองไม่มีสำนักไหนสอน เป็นความชำนาญในการจัดการอำนาจพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน เมื่อได้อำนาจจากประชาชนแต่การบริหารอำนาจและรัฐบาลมีอันเป็นไป เพราะระบบที่นักกฎหมายเขียนเป็นกับดักไว้ทุกทางคนในพรรคไม่เข้าใจ เป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพอันยิ่งใหญ่ ชาวรากหญ้ายุคใหม่ควรเลือกคนของท่าน เพื่อเข้าสภาจึงสามารถเข้ามารักษาประชาธิปไตยและขังจะทำให้ชาวรากหญ้ามีสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือมีส่วนร่วมในอำนาจประชาธิปไตยอีกครั้ง


        จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้   คือ  ได้รับอรรถรสจากการเขียนยุคใหม่ ที่แสดงถึงความคิดและรสนิยมของยุคสมัย ที่ให้ความละเอียดอ่อนละเมียดละไมในความรู้สึกของชาวรากหญ้าที่ต้องต่อสู้กับระบบศักดินา  ซึ่งเผชิญกับความลำบากในการใช้ชีวิตต่อสู้กับระบบศักดินา แต่ก็ต้องทำเพื่อให้ได้สิทธิของพวกเขาเอง
        จุดด้อยของหนังสือเล่มนี้  คือ เป็นการเขียนที่ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว คือ ในด้านการต่อสู้ของชาวรากหญ้า ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก เป็นการให้ข้อมูลในด้านดีของฝ่ายเดียว และเขียนให้ร้ายกับฝ่ายระบบศักดินา ทำให้
ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ไม่ครอบคลุมของทั้งสองฝ่ายว่ามีด้านดี  ด้านเสียอย่างไร

ข้อเสนอแนะ
       ควรเขียนให้มีข้อมูลทั้งสองฝ่าย ไม่ควรเอาข้อมูลในด้านดีของฝ่ายเดียวมาเขียนเพื่อให้ร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง

อ้างอิง : บุญทัน ดอกไธสง. ประชาธิปไตยรากหญ้า. กรุงเทพฯ : ปัญญาชน , 2552.

7/09/2554

เทคนิคการทำงานเชิงรุก

 เทคนิคการทำงานเชิงรุก  : เป็นการทำงานที่เรียกว่า “กันไว้ดีกว่าแก้


     คุณเชื่อหรือไม่ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกของแต่ละคนนั้น เกิดขึ้นจากความคิด ความรู้สึก การรับรู้ มุมมอง หรือทัศนคติที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีการสะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงวินาทีที่แสดงพฤติกรรมนั้น ?
  " ข้าพเจ้า(นางสาวอามอญ  เสนาสี ) เชื่อว่า คนเราคิดอย่างไร รับรู้อย่างไร ก็มักจะแสดงออกอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นนี้ เพราะมีอีกหลายคนที่เลือกหนทางที่จะไม่แสดงพฤติกรรมตามความคิดและความรู้สึกของตนเองหรือแสดงพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามไปเสียดีกว่า เพื่อความมั่นคง และคำนึงถึงผลเลียที่จะตามมาทั้งที่กระทบต่อตัวเองและหน้าที่การงาน เช่น หากเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนร่วมงาน ลักษณะของงานที่ทำอยู่ เขาก็เลือกที่จะยิ้มรับกับปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น ทำให้พวกเขาเหล่านี้กลายเป็นคนที่เก็บความรู้สึกและพฤติกรรมที่แท้จริงของตนเอง "
             ดังนั้น การที่จะเป็นคนทำงานในเชิงรุกได้นั้น ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนมุมมอง การรับรู้และความคิดของตนเองเสียก่อน ซึ่งการปรับเปลี่ยนของแต่ละคนก็ล้วนแต่แตกต่างกันออกไป มีทั้งยากบ้าง ง่ายบ้าง หรือเปลี่ยนไม่ได้เลยก็มี เนื่องจากสภาพแวดล้อมในจุดที่แต่ละคนยืนนั้นต่างกัน ถ้าเราสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองและความคิดใหม่ จะทำให้สภาพ
แวดล้อมเต็มไปด้วยสีสันและรสชาติ  และเพื่อหาวิธีการพัฒนาขั้นตอนการทำงานให้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสิ่งที่จำเป็นของการทำงานเชิงรุกนั้น ยังขึ้นอยู่กับความพร้อมและความตั้งใจจริงของแต่ละคนด้วย
  
ทัศนคติหรือมุมมองของคนที่ทำงานในเชิงรุก
          ศรัทธาในตนเอง  คิดจะเป็นผู้ให้ มากกว่าผู้รับ  มองโลกในทางบวก  วันพรุ่งนี้ ย่อมดีกว่าวันนี้   โอกาสแสวงหาได้จากตัวเรา มองความผิดพลาดเป็นบทเรียน  กล้าและพร้อมเผชิญกับปัญหา  ความรู้ ความสามารถย่อมฝึกกันได้      แผนงานที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง  ทุกคนย่อมมีความรู้ ความสามารถ  ผู้บริหารเวลาที่ดีที่สุด คือตัวเรา   จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง  จงเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร   อนาคตเป็นสิ่งที่เราสร้างได้ และพร้อมเสมอสำหรับการเปลี่ยนแปลง   
         เมื่อคุณสามารถปรับเปลี่ยนมุมมอง การรับรู้และความคิดของตนเองได้แล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการสำรวจตนเองว่าคุณมีจุดแข็งและจุดอ่อนอะไรบ้าง  เช่น คุณมีจุดแข็งด้านความคิดสร้างสรรค์ แต่มีจุดอ่อนด้านความละเอียดรอบคอบและการควบคุมอารมณ์ไม่ได้   และต้องคิดถึงเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ของตนก่อนเสมอ โดยต้องมีการวางแผนเพื่อกำหนดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ต้องการทำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการหาหนทางหรือวิธีการเพื่อที่จะทำให้วิสัยทัศน์ของตนประสบผลสำเร็จ นั่นคือ ต้องมีการกำหนดภารกิจ(mission) และกำหนดตัวชี้วัดผลงานหลัก 
        การทำงานเชิงรุก =  เป็นการทำงานที่มีเป้าหมายสู่อนาคต  เน้นการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว
คุ้มค่าและมีคุณภาพ เล็งเห็นถึงปัญหาพร้อมทั้งลงมือจัดการกับปัญหานั้น ๆ ใช้โอกาสที่เกิดขึ้นให้เกิดประโยชน์ต่องานด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ และแปลกใหม่  วางแผนงานล่วงหน้า อย่างละเอียด รอบคอบ รู้จักและรับผิดชอบตนเอง
          การทำงานเชิงรับ = เป็นการกระทำเมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้ตอบสนอง เมื่อเกิด
ข้อผิดพลาดจะโทษสิ่งแวดล้อมรอบข้าง  และเงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ โดยไม่พิจารณาตนเองเป็นหลัก
  และเน้นการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จไปวันๆ เท่านั้น ไม่มีการวางแผนการทำงานก่อนล่วงหน้า ไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น


สาเหตุที่ส่งผลให้คนทำงานมีทัศนคติการทำงานเชิงรับ (Reactive)
   
 เช่น -การได้รับอิทธิพลจากหัวหน้างาน ดังคำกล่าวที่ว่า หัวหน้าว่าอย่างไร ลูกน้องก็ว่าและทำตามอย่างนั้น
         
 - การดูถูกความสามารถของตนเอง ว่าตนไม่มีความรู้ ความสามารถ ทำงานที่ท้าทายไม่ได้ ยากเกินไป จนขาดความเชื่อมั่นในการทำงาน
          
 ประโยชน์ของการทำงานเชิงรุก
     -เพิ่มมูลค่างาน -เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน -สร้างบรรยากาศที่ดีให้กับเพื่อนร่วมงาน
    
-เป็นมิตรที่ดีกับทุกคน หัวหน้าชอบ องค์การก็ส่งเสริม -มีเวลาทำกิจกรรมเพื่อสังคม              
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ คือ  เป็นหนังสือที่ผู้เขียนเน้นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงทัศนคติของบุคคลวัย
ทำงานที่มีต่อองค์การ โดยการเปรียบเทียบทัศนคคติของคนที่ทำงานเชิงรุกกับคนที่ทำงานเชิงรับได้อย่างชัดเจน
 และเล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานเชิงรุกของผู้เขียนเอง เพื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นการสร้างโอกาสในการทำงานให้กับชีวิต ใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์ และเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นคนทำงานเชิงรุก 
จุดด้อยของหนังสือเล่มนี้ คือ เนื่องจากหนังสือเรื่องนี้เป็นการเล่าประสบการณ์ของผู้เขียนเป็นส่วนใหญ่ จึงมีการกล่าวถึงเนื้อหาเดิมซ้ำหลายรอบ       
ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ คือ  ทำให้รู้ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานใด ๆ ได้นั้น นอกจากจะรักในงานที่ทำแล้ว ยังมีพื้นฐานเป็นคนที่มุ่งมั่น  อดทน และมองการณ์ไกลด้วย   ซึ่งต้องคำนึงถึงเสมอว่า การทำงานทุกอย่างย่อมต้องมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครหลีกหนีปัญหาได้ แต่จะต่างกันตรงที่ว่าใครจะสามารถรับมือและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นได้มากน้อยกว่ากัน
ตัวอย่างทัศนคติของพนักงานที่มีต่อองค์การของตน 
         “ ไม่ต้องรีบร้อนทำงานหรอก เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าลูกค้าจะมารับงาน”
         
“ พวกเราเตรียมเก็บข้าวของได้แล้วนะ เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง จะเลิกงานแล้ว งานด่วนไว้ทำวันพรุ่งนี้ก็ได้ รับรองเสร็จก่อนเที่ยงแน่นอน “
อ้างอิง : อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์. เทคนิคการทำงานเชิงรุก (Proactive). กรุงเทพมหานคร : เอช อาร์ เซ็นเตอร์ , 2548.

ปูนปิดทอง



ปูนปิดทอง
 ปูนปิดทอง เป็นนวนิยายที่สะท้อนปัญหาครอบครัวในชีวิตสมรส ที่มีปัญหาการอย่าร้างตามมาหลังจากการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งครอบครัวที่มีปัญหาจากการอย่าร้าง ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสมาชิกในครอบครัว ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้เด็กที่อยู่ในครอบครัวแตกแยก ขาดความรัก ความอบอุ่น และมีความรู้สึกโดดเดี่ยว ปัญหาต่างๆ จึงได้เกิดขึ้น เนื่องจากลูกเคยชินต่อสภาพแวดล้อมที่พ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่น และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ความสัมพันธ์แบบนี้กลับถูกทำลายไป ล้วนทำให้ส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกของเด็ก เช่น เด็กที่เคยยึดพ่อแม่เป็นแบบอย่าง ในด้านค่านิยม อารมณ์  ซึ่งเป็นแบบของการประพฤติ ปฏิบัติที่ช่วยให้เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี แต่เมื่อสถาบันครอบครัวถูกทำลาย ลูกๆ บางครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปปรึกษาใครเมื่อเผชิญกับปัญหา ซึ่งอาจทำให้เขาน้อยใจ ผิดหวัง และท้อแท้กับเรื่องที่ทำให้สะเทือนใจ จนกลายเป็นเด็กมีปัญหาได้ เช่น การประพฤติผิดทางเพศ ปัญหาเด็กบ้านแตก ปัญหายาเสพติด และปัญหาอาชญากรรม ฯลฯ
อย่างเช่น ครอบครัวของสองเมืองและบาลี ทั้งสองคนต่างต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัว ที่พ่อและแม่ต้องแยกทางกันอยู่ นำมาซึ่งบาดแผลแห่งความเจ็บปวดในชีวิต และได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่พ่อแม่ของพวกเขาแยกทางกัน พวกเข้าได้พบเจอปัญหาต่างๆมากมายในชีวิตตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ บาลีและสองเมืองต่างเรียนรู้ และเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ และแก้ปัญหานั้นอย่างมีเหตุผล ซึ่งทั้งคู่ก็ได้มาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน พยายามเติมเต็มส่วนที่ขาดให้แก่กันและกัน เพื่อลืมความเจ็บปวดในอดีตและประคับประคองชีวิตคู่ของพวกเขา ให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ที่พร้อมจะเดินไปด้วยกัน ด้วยความรัก ความอบอุ่น และความเข้าใจที่สามารถยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของกันและกัน ตลอดจนรู้จักผ่อนปรนและให้อภัยกัน ซึ่งทั้งบาลีและสองเมืองต่างเชื่อมั่นในความรักที่มีให้กัน ที่จะสามารถเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ และพัฒนาชีวิตครอบครัวให้มีชีวิตที่ดี มีคุณภาพและมีความสุขที่สุด ด้วยตัวของพวกเขา                                                         

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้  

    ทำให้ได้รับแง่คิดและสะท้อนความเข้าใจในการดำเนินชีวิต ให้เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ในฐานะพ่อแม่ ที่ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว โดยผ่านตัวละครเปรียบเทียบความงดงามและความเลวร้ายของการใช้ชีวิต ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดร่วมกัน และเป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้ตระหนักถึงชีวิครอบครัว
   

 จุดด้อยของหนังสือเล่มนี้ 
    ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญานในการอ่าน คิด วิเคราะห์ตาม แล้วต้องรู้จักแยกแยะที่จะเลือกปฏิบัติตามตัวอย่างที่ดีจากตัวละครในเรื่อง เพื่อเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต



อ้างอิง : กฤษณา อโศกสิน (สุกัญญา ชลศึกษ์). ปูนปิดทอง. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น , 2525.

อมตะ



              นวนิยายเรื่อง  "อมตะ" ของ วิมล ไทนนิ่มนวล เป็นนวนิยายเชิงจินตานาการแนววิทยาศาสตร์ ที่ผู้เขียนใช้ความขัดแย้งระหว่าง ความเจริญด้านวิทยาศาสตร์ ที่ไม่สามารถเกี่ยวก้อยไปกันได้กับศีลธรรมอันดีงามมาเป็นแก่นแกน เอาความฝันชนะกฎแห่งสังขาร เป็นตัวเดินเรื่อง โดยอาศัยตัวละครแต่ละตัวที่มีความรัก ความผูกพัน และความแค้น ให้ทะยานไปสู่จุดจบอันอาจเหนือจริง โดยเริ่มจากความต้องการเป็นอมตะของตัวละครชื่อว่า "พรหมินทร์" ด้วยการโคลนนิ่งมนุษย์เทียมขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ "ชีวัน" ผู้ที่พรหมินทร์ได้เลี้ยงดูเป็นลูกมาตั้งแต่เล็ก แต่ชีวันไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตนเองไม่ใช่ลูกของพรหมินทร์ และไม่ใช่มนุษย์แท้ เมื่อเขารู้ความจริงจึงเจ็บปวดรวดร้าวใจยิ่งนัก ถึงกับหนีเตลิดออกจากบ้านไปหาคนรัก เพื่อหลบพัก และไตร่ตรองจนตัดสินใจได้จึงกลับบ้าน ระหว่างนี้เอง ตัวละครที่ชื่อ "อรชุน" ก็ถูกเปิดตัวออกมาในฐานะนักจิตบำบัดหนุ่มที่มีความสามารถสูง ขณะนั้นอรชุนกำลังติดพันอยู่กับ "รติรัตน์" ลูกสาวของพรหมินทร์ เป็นการแก้แค้น ด้วยเหตุที่ว่า แท้จริงแล้วอรชุนก็เป็นมนุษย์โคลนนิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเช่นเดียวกับชีวัน อรชุนได้พบกับ "ศศิประภา" ซึ่งเป็นภรรยาของพรหมินทร์ และพบกับชีวันเพื่อบำบัดจิตให้กับคนทั้งสอง เมื่อทั้งสามคนมาพบกันความจริงเรื่องมนุษย์โคลนนิ่งก็ถูกเปิดเผย เมื่อพรหมินทร์สมหวังในเรื่องการผ่านกฎหมายรับรองการโคลนนิ่งมนุษย์และเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเพื่อการค้า ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างถูกต้องและพรหมมินทร์ก็ได้เริ่มทำการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะของตนเองจากอวัยวะของชีวัน อรชุนก็เข้ามามีบทบาทโดยเสนอตัวเองแลกเปลี่ยนกับชีวัน การเปลี่ยนอวัยวะคืนให้กับชีวันที่ทำไปพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายสมองของพรหมินทร์มาใส่ในร่างกายของอรชุนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทิ้งปมปัญหาให้คิดใคร่ครวญว่า จิตใจของพรหมินทร์ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายสมองแล้วนั้นเป็นของใครกันแน่ ระหว่างพรหมมินทร์กับอรชุน
              จุดเด่น ของนวนิยายเรื่องอมตะ คือ การที่ผู้เขียนสามารถนำประเด็นที่คาดการณ์ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งในอนาคต มาผูกเรื่องและสร้างตัวละครที่เป็นตัวแทนของความคิดความเชื่อ 2 แนว ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งนวนิยายเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นนวนิยายที่มีข้อคิด คุณธรรมสอดแทรกไว้ในเนื้อหาทำให้ผู้อ่านได้ติดตามตลอดเวลา และที่สำคัญเนื้อหาทั้งหมดยังมีข้อความที่สรุปได้ดีที่สุดที่ว่า “ สัญชาตญาณอำมหิต วิทยาศาสตร์ และสัจวิถี ” แห่งศาสนา
             จุดด้อย ของนวนิยายเรื่องอมตะ คือ “อรชุน” ตัวละครในเรื่อง “อมตะ” ว่า แม้มีเป้าหมาย ทางอุดมคติที่ดี คือต้องการช่วยเหลือคนโคลน แต่วิธีการที่เขาเลือกใช้กลับมีแนวโน้มไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งขัดกับหลักการทางศาสนาที่เขาพร่ำสอนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งนักเขียนมีเจตนาให้นวนิยายเรื่องนี้นำเสนอประเด็นความขัดแย้งระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ คือฝ่ายหนึ่งต้องการเป็นอมตะทางกายภาพ แต่อีกฝ่ายหนึ่งแย้งว่าความเป็นอมตะที่แท้จริงเป็นภาวะทางจิตใจ หรือที่เรียกว่า “นิพพาน” แต่ในส่วนของโครงเรื่องนั้น กลับไม่ได้แสดงความขัดแย้งที่เด่นชัดในปัญหานี้ แต่มีความเข้มข้นตรงเงื่อนปมภายในตัวตนของมนุษย์มากกว่า สำหรับประเด็นทางศาสนาและวิทยาศาสตร์ที่ว่านั้น จะปรากฏอยู่ในบทสนทนาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นการสนทนาของตัวละครที่มีด้านมืดของจิตใจครอบคลุมอยู่ เพราะฉะนั้นหลักการที่ตัวละครยกขึ้นมาอ้างจึงดูไม่น่าเชื่อถือ

อ้างอิง : วิมล ไทรนิ่มนวล. อมตะ. กรุงเทพฯ : สามัญชน , 2550

ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์

                                            ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์
                                   


 
                                    
                
"  ถ้าความฝัน คือ พลังผลักดันให้คนเรามุ่งไปข้างหน้า
                     
ความลับ  ก็คงเป็นแรงผลักดันให้เราต้องมองย้อนไปข้างหลัง
                          
บางครั้งความลับก็ดูสวยงามและมีเสน่ห์
                          
แต่บางครั้งก็อาจฉุดรั้งให้เราพะวักพะวน
กับการก้าวไปข้างหน้าได้เหมือนกัน  "

ในบ้านที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ เด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งแม้จะได้รับความรักอย่างเต็มอิ่มจากผู้เป็นตาและยาย รวมทั้งบรรดาเพื่อนสนิทของแม่ แต่ในใจดวงน้อยก็อดไม่ได้ที่จะมีคำถาม บางส่วนอาจจะได้รับคำตอบแล้ว แต่ความลับบางอย่างยังคงอยู่......และรอให้เข้าไปค้นหา
แม่ของกะทิเหมือนจะเข้าใจดี เมื่อรู้ตัวว่าเหลือเวลาในโลกอีกไม่มากนัก เธอจึงเตรียมการณ์ทุกอย่างเพื่อจะบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้ลูกสาวฟัง การค้นพบของกะทิกลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและเปิดโลกใหม่ให้เด็กหญิง แม้ว่าเนื้อหาของมันจะแสนเศร้า และกะทิยังไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมดก็ตาม เพราะเรื่องของความรัก บางครั้งคนเป็นผู้ใหญ่ก็ยังเข้าใจได้ไม่หมด อย่างที่แม่เองก็ผิดพลาดมาแล้ว และรอให้กะทิเข้ามาช่วยสะสางสิ่งที่แม่ยังคงค้างใจ  และเหนืออื่นใด การได้ใกล้ชิดและรับรู้เรื่องราวในชีวิตของแม่ด้วยวิธีการที่แม่วางไว้อย่างแยบคาย ก็ทำให้กะทิเข้าใจและจัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องเกี่ยวกับตนเอง แต่รอบทั้งเรื่องของคนอื่นรอบข้างด้วย บางครั้งความเศร้าก็จำเป็นสำหรับจิตใจ อย่างน้อยก็ทำให้เรามองเห็นความสุขได้ง่ายขึ้น
ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์ เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ที่ต่อจาก ความสุขของกะทิ หัวใจดวงเล็กๆ ที่บอบช้ำจากความโศกเศร้าเพราะสูญเสียผู้เป็นที่รักย่อมต้องใช้เวลาถนอมรักษา และแน่นอนว่าต้องมียาใจที่ถูกต้องในการรับมือ และจัดหาที่ทางให้ความเศร้าอยู่ร่วมในเนื้อชีวิตได้อย่างลงตัว จะช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างไม่ช้ำตรมนัก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
โลกของเด็กหญิงกะทิมีเสียงจากธรรมชาติริมคลองขับกล่อม รายล้อมด้วยผู้รักใคร่มีเมตตา และ
แน่นอนว่าสนุกสนานตามประสาเด็ก แม้ว่าการขาดแม่จะยังเป็นเงาสีเทาในชีวิต ทำให้เหมือนเป็นปมที่ติดตัวกะทิตลอดไป แต่ด้วยความรักของตา ยาย และคนอื่นที่อยู่รอบข้างที่มีให้กะทิก็ทำให้กะทิได้รับความอบอุ่นไม่น้อยกว่าเด็กคนอื่นๆที่มีทั้งพ่อและแม่ ถึงแม้จะมีความรู้สึกไม่อบอุ่นเท่าอ้อมกอดของแม่ก็ตาม แต่ความรู้สึกนั้นก็เป็นได้เพียงความฝันที่ตื่นขึ้นก็จางหายไป มันก็ยังทำให้กะทิรู้สึกดีและไม่อยากตื่นจากความฝันนั้นเลย  ปิดเทอมของกะทิกำลังจะมาถึง และเหตุการณ์ต่างๆ ก็ประดาประดังเข้ามาจนแทบไม่ทันตั้งตัว พี่สดับที่เคยมาทำงานบ้านประจำอยู่ๆ ก็หายตัวไปโดยที่ไม่มีใครรู้ ทิ้งให้พ่อแม่ซึ่งแก่มากแล้วอยู่กันสองคน ลุงตองพี่ชายของแม่มาอาศัยอยู่ด้วยช่วงที่กะทิปิดเทอม ส่วนครูราตรีก็มีท่าทีแปลกๆ ครูชอบนั่งเหม่อลอยและตีสีหน้าเศร้าอยู่บ่อยๆ และกะทิก็ได้ของขวัญสุดพิเศษเป็นสุนัขตัวหนึ่ง เธอตั้งชื่อว่า ฟาโรห์
วันหนึ่ง กะทิได้มีโอกาสไปชมการแสดงลิเกที่งานวัด กับยาย ตา ลุงตอง กะทิเมื่อเห็นครูราตรีก็เลยชวนมานั่งเสื่อด้วยกัน ขณะที่เธอและครูราตรีกำลังเดินไปห้องน้ำ ก็พบกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในผ้าใต้ต้นโพธิ์ เมื่อเปิดออกดูเธอพบเด็กทารกแรกเกิดซึ่งพาความตกใจและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เกิดกับกะทิ ทารกเพศชายคนนั้นกลายมาเป็นลูกของครูราตรี ลุงตองให้ตั้งชื่อว่าน้องทิวาหรือน้องทิว ตั้งแต่นั้นลุงตองกับครูราตรีก็สนิทสนมกันและกลายมาเป็นคนที่ใกล้ชิดกันมากในที่สุด ลุงตองกลายเป็นพ่อของน้องทิว ส่วนครูราตรีก็เป็นแม่ ทุกคนเอาใจใส่น้องทิวซะจนกะทิรู้สึกว่าตัวเองหมดความสำคัญ พบเจออะไรก็ขัดใจไปเสียหมด
          
วันหนึ่งกะทิถูกวานให้เอาของไปให้ครูราตรี แม่บ้านจึงขอให้กะทิช่วยดูแลน้องทิวสักพัก แต่กะทิปล่อยปะละเลยปล่อยให้ฝนสาดใส่น้องทิวจนไข้ขึ้นสูงขณะที่ตัวเองสนใจกับการอ่านจดหมายที่ครูราตรีเขียนให้สามีเก่าซึ่งผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้ครูราตรีชอบทำหน้าเศร้าอยู่บ่อยๆ กว่ากะทิรู้ตัวว่าทำผิดมหันต์ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว แถมสุนัขของเธอก็ถูกงูเหลือมรัดจนตายอีก กะทิรู้สึกเศร้ามากจนร้องไห้ไม่ยอมหยุด พวกผู้ใหญ่จึงตัดสินใจพากะทิไปเที่ยวบ้านกลางเมือง กลับไปคอนโดที่แม่ของเธอเคยอยู่ กะทิเอากุญแจรูปพระจันทร์ที่มีกระต่ายอยู่ตรงกลางติดตัวไปด้วย   น้าฎาและน้ากันต์เป็นคนคอยดูแลกะทิตลอดช่วงที่อยู่บ้านกลางเมือง ทั้งพาไปเที่ยวและหาคอร์สเรียนพิเศษที่กะทิสนใจจะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นอกจากนี้น้ากันต์ยังช่วยตามหาความทรงจำของแม่ด้วย   กะทิเลือกที่จะเรียนร้องเพลงเพราะได้แรงบันดาลใจจากนักร้องเพลงร็อกชาวแคนนาดา ครูของกะทิมาจากเมืองนอก ครูชื่อแชนนอน เธอยังสาวและเท่ห์ทีเดียว ทั้งสองกลายมาเป็นคู่ซี้กัน แม้จะสื่อสารคนละภาษาก็ตาม  เดี๋ยวนี้กะทิมักฝันเรื่องเดิมๆ เธอเห็นแม่วิ่งตามพระจันทร์ เธอวิ่งตามแต่แม่ก็ดูเหมือนจะไกลออกไปเรื่อยๆ กะทิคิดว่ากุญแจรูปพระจันทร์ต้องเชื่อมบางอย่างกับความฝัน และมันต้องเป็นกุญแจที่ใช้สำหรับไขบางอย่างในตู้เก็บเอกสารของแม่เป็นแน่
กะทิกับน้ากันต์ช่วยกันสืบจนเจอเทปบันทึกเสียงอันหนึ่งในกล่องที่ต้องใช้กุญแจรูปพระจันทร์เปิด มันคือ
เทปบันทึกเสียงของแม่ที่แม่ตั้งใจจะพูดกับกะทิ ที่บอกเล่าเป็นเรื่องราวต่างๆ ตอนนั้นเสียงของแม่ยังดูมีชีวิตชีวา แตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่กะทิเจอที่บ้านชายทะเล แม่เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวแม่และพ่อของกะทิ รวมไปถึงเพื่อเก่าคนสำคัญของแม่ เขาชื่อว่า วสันต์ เขาเคยขอแม่แต่งงานหลังจากที่แม่เลิกกับพ่อ แต่แม่ไม่เคยตอบรับเลยจึงเป็นสิ่งที่ค้างคาใจแม่มาตลอด แม่ขอให้กะทิเอาจดหมายและเทปม้วนที่สองมอบให้กับลุงวสันต์
กะทิกับน้ากันต์ขับรถไปบ้านของลุงวสันต์ขากลับจากบ้านกลางเมือง กะทิได้แต่เอาของไปฝากไว้กับพี่สาวของลุงวสันต์เพราะช่วงนั้นเขาไปทำงานที่ต่างประเทศ กะทิได้แต่หวังว่าเขาจะจำแม่ได้   กะทิกลับมาถึงบ้านริมคลองประจวบเหมาะกับช่วงนี้โรงเรียนกำลังจะเปิด เธอยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย กะทิขี่จักยานไปเที่ยวงานเปิดห้องสมุดกับพี่ทอง พอถึงงานพี่ทองก็ทิ้งแล้วไปกับ พี่กิ่งชนกสาวสวยที่พี่ทองแอบชอบ กะทิบังเอิญเจอเชิงรบ เพื่อนร่วมห้องที่โรงเรียน เชิงรบเป็นลูกชายของนายอำเภอที่เป็นประธานในการเปิดหอสมุดวันนี้ เชิงรบอาสาพากะทิไปส่งที่บ้าริมคลองและนับจากนั้นทั้งสองก็สนิทกันมากขึ้น จนกระทั่งโดนมณีเด็กเกเรล้อเลียนว่าเป็นแฟนกันคนอื่นๆ ที่โรงเรียนเลยพลอยล้อกันไปหมด กะทิไม่นึกใส่ใจ ตรงข้ามกับเชิงรบที่ค่อนข้างจะคิดมาก พวกเขาเลยไม่ได้คุยกันเลย   ตอนนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้วครูให้การบ้านไปคิดโครงการเอสเอ็มอีมากลุ่มละหนึ่งเรื่อง เพราะโรงเรียนกำลังจะจัดงานเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการทำธุรกิจ ซึ่งทั้งกลุ่มก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้   พี่สดับกลับมาแล้ว กลับมาทำงานตามปกติ แต่ก็ไม่ยอมปริปากบอกใครเลยว่าไปไหนมา จนกระทั่งพี่สดับได้เปิดใจคุยกับน้าฏาและทุกสิ่งก็เปิดเผย พี่สดับหนีตามคนรักชื่อพี่ธงไปที่กรุงเทพ เขาบอกว่าจะไปทำงานเป็นคนงานที่ไต้หวัน พี่ธงบอกว่าจะกลับมาสู่ขอพี่สดับหลังจากปลดหนี้สินหมดและเก็บเงินได้พอ แต่นานไปพี่ธงก็ไม่กลับ จนพี่สดับรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง และเอาลูกมาไว้ใต้ต้นโพธิ์ที่วัด นั่นคือ น้องทิวนั่นเอง
ความจริงที่สืบได้คือ ที่พี่ธงไม่กลับมาเป็นเพราะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปแล้วตอนอยู่ไต้หวัน แม้ว่าพี่สดับจะเศร้ามาก แต่ครูราตรียอมให้พี่สดับอยู่เลี้ยงดูน้องทิวที่บ้านได้โครงงานเอสเอ็มอีของกลุ่มกะทิตกลงกันได้แล้วว่าจะทำซุ้มเกมส์ ในวันเตรียมงาน นักเรียนชั้น ป.6 รวมถึงกะทิงดเรียนในวันนี้ วันนี้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เชิงรบผู้อ่อนแอสามารถกำหราบมณีหรือที่เพื่อนๆ พากันเรียกว่าป้อมยักษ์ลงได้ด้วยวิชายูโดที่แอบไปซุ้มซ้อมมาอย่างดี เชิงรบกลายเป็นฮีโร่ส่วนกะทิก็กลายเป็นหวานใจฮีโร่ไปแล้ว
ในที่สุดวันงานที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเสียที ตายายเดินคล้องแขนกันชมซุ้มขายอาหารอาหาร ลุงตองได้ข่าวดีเกี่ยวกับหนังสือจัดดอกไม้ของตนที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างเสียที พี่สดับพาพ่อแม่คือตาชุมกับยายมาลีมาเที่ยวงานด้วย เพราะรางวัลใหญ่ของซุ้มเกมส์คือปลาตะเพียนยักษ์ฝีมือตาชุม ส่วนพี่ทองก็อกหักหลังจากได้เห็นพี่กิ่งชนกคนสวยพาแฟนมาเที่ยวงานด้วย งานวันนี้จบลงด้วยดี  เย็นวันนั้นกะทิกลับมาถึงบ้านและพบว่ามีแขกสำคัญรออยู่ ลุงวสันต์มารอกะทิอยู่ที่ท่าน้ำ ทั้งสองได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องแม่ของกะทิ และก่อนที่ลุงวสันต์จะกลับ เมื่อเขาจูบกะทิที่หน้าผาก กะทิก็รู้สึกได้ทันทีว่า ได้หยิบยื่นคืนพระจันทร์ที่แม่ทำหายไปให้แม่แล้ว

จุดเด่นของหนังสือ
เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับทุกวัย รูปเล่มของหนังสือกระทัดรัด เหมาะกับการพกพา หน้าปกมีสีสันสวยงาม ตัวหนังสืออ่านง่ายและมีเนื้อหาที่เข้าจัยได้ง่าย มีการแบ่งเหตุการณ์เป็นตอน ทำให้ผู้อ่านไม่สับสนต่อเหตุการณ์ของเรื่อง จึงเป็นนวนิยายที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้หนอนนวนิยายชื่อมาอ่าน และมีความนิยมของหมู่คนมาก จึงทำให้ได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี

จุดด้อย
ในแต่ละตอนของหนังสือมีรูปภาพแต่ไม่ค่อยดึงดูดใจผู้อ่านเท่าที่ควรบางครั้งรูปภาพที่ใช้สื่อถึงเหตุการณ์ของตอนๆนั้น ทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสนไม่เข้าใจ เมื่ออ่านเนื้อเรื่องแล้วกลับมาดูรูปภาพประกอบไม่สอดคล้องกันเท่าที่ควร

ข้อเสนอแนะ
นวนิยายเรื่องความสุขของกระทิ ตอนตามหาพระจันทร์ เป็นตอนที่ต่อจากความสุขของกระทิในเล่มแรก สำหรับผู้ที่มาอ่านตอนตามหาพระจันทร์ เป็นเล่มแรกอาจทำให้เกิดความสับสน เพราะไม่ได้รู้ถึงที่มาของเรื่อง ดังนั้นควรจะอ่านทั้งสองเรื่องเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องกัน และได้อัตถรส



                                
                                               
งามพรรณ เวชชาชีวะ.ความสุขของกระทิ : ตามหาพระจันทร์. พิมพ์ครั้งที่15. กรุงเทพมหานคร :
         แพรวสำนักพิมพ์, 2550

ทันเกม นักตุ๋น

 





ทันเกม นัตุ๋น
 











 ทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่าโจรหรือแก๊งมิจฉาชีพทั้งหลาย พยายามใช้กลอุบายอันแยบยลเพื่อลวงเหยื่อให้ตายใจ เพื่อที่พวกมันจะได้ลงมือปฏิบัติตามแผนอย่างแนบเนียน และทำความเสียหายให้แก่เหยื่อโดยไม่รู้ตัว โจรหรือแก๊งมิจฉาชีพทั้งหลายมีมากมาย ในสังคมของเราที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งๆที่กลอุบายฉ้อฉลของพวกมันนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องพูดต่อๆกันไปเพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ทราบถึงกลอุบายเพื่อ ที่จะได้ระมัดระวังถึงภัยอันตรายที่อาจเกิดกับตัวของเราได้ตลอดเวลา เพราะโจรและแก๊งมิจฉาชีพมันอยู่ปะปนกับคนในสังคมทั่วไป เหตุการณ์ในลักษณะต่างๆที่เป็นกลลวงของมิจฉาชีพแก๊งต้มตุ๋นเคยเกิดขึ้นมา แล้วหลายครั้งหลายหน แต่ขณะเดียวก็ยังมีคนมาหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อให้แก๊ง 18 มงกุฎหลอกลวงเอาอยู่ดี หนังสือเล่นนี้ที่ได้อ่านจึงมีการหยิบยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ ที่มาเหล่าให้นักเขียนฟังและได้ทำเป็นหนังสือขึ้นมาเพื่อให้ผู้อ่านได้เตือน ได้ทราบถึงภัยของพวกนักต้มตุ๋น แก๊งมิจฉาชีพนั้น ในหลายๆเรื่อง เช่น ศิลปิน-ศิลปะลอม ซวยเพราะรับฝากของ มันนี่เกม เหลือบสังคม ภัยผู้ชาย สเปรย์พิฆาต มอมยาพาเบิกเงิน ภัยร้ายของเด็กน้อยไล่ออกริบเงินเพื่อนรักหักเลี่ยมโหด ฉกเอาดื้อๆ เสน่ห์ลนไฟ เป็นต้น และยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจและอ่านแล้วได้รู้กลอุบายมากมาก แต่ทั้งหมดของเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ก็สื่อให้รู้ถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นกับ ตัวเราเอง โดยข้าพเจ้าจะขอหยิบยกมาให้อ่านดังนี้
                 เรื่องแรก คำสารภาพของเหยื่อ
              เป็นเรื่องเกี่ยวกับการถูกล่อลวงไปขายบริการ โดยเรื่องๆนี้เกิดขึ้นกับแจ่มเดือนหญิงสาวบ้านนอกจากต่างจังหวัดเดินทางเข้าไปกรุงเทพเพื่อหางานทำ แต่เหตุการณ์ร้ายๆก็เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้และความซื่อของเด็กบ้านนอกคน หนึ่งที่เดินทางจากต่างจังหวัดโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร ไม่มีที่พัก ไม่มีญาติที่ไหน เหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับเธอเมื่อมีหญิงวัยกลางคนเข้ามาหาเธอโดยทำทีท่าว่าเป็น คนดีและหวังดีกับเธอมาถามว่ามีงานทำที่ไหนหรือเปล่า สนใจมาทำงานกับฉันไหม มีที่พักให้ เงินดี และก็มีเพื่อนรุ่นเดียวกันทำด้วย ด้วยความซื่อของเด็กบ้านนอกจึงทำให้เธอตอบตกลงโดยเธอไม่ได้คิดมากอะไรเลย แต่แล้วเธอต้องเศร้าเมื่อรู้ว่างานที่เธอทำนั้นคือ งานขายบริการ เธอจึงพยายามๆหนีออกมาจากที่นั้นพร้อมกับเพื่อนที่พากันรวมใจหนีออกมาแต่ หลายครั้งเธอก็หนีออกมาไม่ได้ จนสบโอกาสเมื่อมีลูกค้าใจดีช่วยเปิดทางเธอจึงได้รอดออกมาจากนรกที่เธอไม่ อยากกลับไปทำอีกครั้งหนึ่ง                          
               เรื่องที่สอง นางนกต่อ 
เรื่องเกิดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กลับลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัด จันทบุรี ในขณะที่เธอรอรถอยู่ที่ขนส่งแห่งหนึ่ง ก็มีหญิงสาวอายุประมาณ 27- 28 สาวสวยสองคนนี้ ได้เดินเดข้ามาคุยกับหญิงที่จะเดินทางกลับบ้านสาวสวยทั้ง 2 ทำทีท่าว่ามาจากที่อื่นแล้วมาบอกกับเธอว่าไม่มีที่ไปเลยจะขอเดินทางไป จังหวัด จันทบุรีด้วยและก็ขอไปนอนที่บ้านของเธอที่จันทบุรี ด้วยความที่ว่าเธอเป็นคนที่ขี้สงสารและเห็นว่าหัวอกผู้หญิงด้วยกันจึงให้ไป ด้วย วันหนึ่งก็ไปกันไปเที่ยวและก็ได้กลับไปพักที่โรงแรม พอไปถึงเธอกับเพื่อนทั้ง 2 ก็ได้พากันหลับ โดยที่เธอนั้นตื่นขึ้นมาพร้อมอาการซะลึมซะลือ และพบว่าเธออยู่ในลักษณะเปลือยกายอยู่บนเตียงที่นอนอยู่และข้างๆตัวเธอเห็น ว่ามีถุงยางอนามัยและมีเชื่ออสุจิอยู่ในถุงยางนั้นด้วย เป็นการล่อลวงไปข่มขืนโดยวิธีการเชือดอย่างนิ่มๆ 
เรื่องที่สาม บาปในคราบบุญ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ตลาดแถวบ้านของเหยื่อที่ประสบกับเรื่องๆนี้ คือ เหยื่อเล่าว่าตนได้ไปจ่ายตลาดให้ภรรยาที่ตลาดตนก็ได้เห็นมูลนิธิหนึ่งได้ เดินขอรับบริจาคโดยอ้างว่าช่วยทำบุญซื้อโลงโดยจะมีของที่ระลึกให้เป็นพระ เครื่องที่ลงคาถาอาคม ผ่านการทำพิธีปลุกเสกมาแล้ว แต่ตนก็ไม่ได้ทำบุญอะไรและก็เดินกลับบ้าน พอถึงบ้านจึงนึกได้ว่าไปจ่ายตลาดให้ภรรยาแต่ก็ลืม จึงบอกให้ภรรยาไปซื้อของเอง เมื่อภรรยาของเข้าไปเดินตลาดก็พบเจอมูลนิธินี้มาขอให้ร่วมทำบุญเหมือนที่ สามีได้เราให้ฟัง ซักพักหนึ่งภรรยาของเขาก็เดินทางกับมาบ้านโดยไม่มีข้าวของที่ได้ไปซื้อแถม สร้อยทองที่เธอใส่ เงินที่เธอมีในกระเป๋าก็หายไป ลักษณะการพูดคุยก็ไม่รู้เรื่อง สามีจึงได้เดินกลับไปตลาดอีกครั้งเพื่อสอบถามคนขายในตลาด เขาก็เห็นว่ามีกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงก็มีอาการเหมือนกันกับภรรยาของเขา เข้าเลยรู้ว่าภรรยาของเข้าถูกแก๊ง 18 มงกุฎ หรือ นักต้มตุ๋มป้ายยากล่อมประสาท ทำให้ภรรยาเข้าถอดสร้อยคอทองคำและเอาเงินให้พวกแก๊งต้มตุ๋มไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า หากเรามองคนแต่ภายนอก ก็ถือเป็นการเสี่ยงมากต่อความเสียหายที่เกิดกับตัวเราเอง และการรู้เท่าทันเกมกลลวงของพวกมันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ด ขาด…..
จุนเด่น  ของนักสือเรื่องทันเก นักตุ๋น   
                   คือ  เป็นหนังสือหนังสือที่นำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีผู้ประสบเหตุการณ์ร้ายๆ มีผู้เคราะห์ร้ายหรือเหยื่อที่ถูกกระทำจากโจรหรือพวกแก๊งค์นักต้มตุ๋นทั้งหลาย  ด้วยกลอุบายที่แยบยลในการหลอกลวงต่างๆ และมีการเล่าเรื่องเพื่อให้ผู้เขียนหนังสือได้เขียนลงหนังสือให้เป็นเรื่องเตือนใจ และเป็นแง่คิด ข้อควรระวังต่างๆให้แกผู้อ่านที่ไม่รู้เท่าทันคนในยุคปัจจุบัน  เพราะปัจจุบันนี้ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเศรษฐกิจส่งผลต่อการเป็นอยู่มาก  ทำหั้ยหลายคนตกงาน ไม่มีงาน จึงม่ายมีเงินในการเลี้ยงชีพ เมื่อจนหนทางคนดีอยู่แล้วก็อาจหันมาเป็นโจร หรือ นักต้มตุ๋น ที่คอยหลอกลวงเอาเงินไปใช้อย่างง่ายดาย
จุดด้อย  ของนักสือเรื่องทันเกม นักตุ๋   
                   คือ  หนังสือเล่มนี้ภาพประกอบมากว่านี้ ผู้เขียนก็ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายกว่านี้ และเขียนหนังสือให้น่าสนใจ ได้แง่คิหลากหลายมุมมองมากขึ้น

ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้   
คือ ไม่ควรที่จะไว้ใจใครง่ายๆ  และควรที่จะมองคนให้ดีๆ เพราะหากเราไว้ใจใครง่ายๆ เขาคนนั้นอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่เราคิด และอาจหันกลับมาทำร้ายเราอีกด้วย ดังคำที่ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเรา
อ้างอิง : ปางบรรพ์. ทันเกมนักตุ๋น.กรุงเทพฯ:ไพลิน , 2550.